ตารางเดินเงินบาคาร่า 10 ไม้ คืออะไร คำถามที่หลายคนอยากรู้
ตารางเดินเงินบาคาร่า 10 ไม้ เป็นแผนการวางเดิมพันที่ช่วยผู้เล่นจัดการงบประมาณและลดความเสี่ยงในการเสียเงิน โดยใช้วิธีการเดินเงินในแต่ละรอบหรือ “ไม้” ที่แตกต่างกันในจำนวนทั้งหมด 10 ไม้ ซึ่งแผนการนี้ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นเทคนิคการเดินเงินบาคาร่าก็ว่าได้ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในกรณีที่คุณชนะหรือแพ้ในการเดิมพันเกมบาคาร่า
ตัวอย่างของตารางเดินเงิน 10 ไม้แบบทบเงิน (Martingale)
- ไม้ที่ 1 เดิมพัน 1 หน่วย
- ไม้ที่ 2 เดิมพัน 2 หน่วย
- ไม้ที่ 3 เดิมพัน 4 หน่วย
- ไม้ที่ 4 เดิมพัน 8 หน่วย
- ไม้ที่ 5 เดิมพัน 16 หน่วย
- ไม้ที่ 6 เดิมพัน 32 หน่วย
- ไม้ที่ 7 เดิมพัน 64 หน่วย
- ไม้ที่ 8 เดิมพัน 128 หน่วย
- ไม้ที่ 9 เดิมพัน 256 หน่วย
- ไม้ที่ 10 เดิมพัน 512 หน่วย
✳ ในกรณีนี้ การเดิมพันจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่แพ้ และหากชนะจะกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ 1 หน่วย
ตารางเดินเงินบาคาร่า 10 ไม้ นี้เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการจัดการงบประมาณ คุณสามารถปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมและสถานการณ์ของตัวเองได้ แต่ควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และไม่ควรใช้เงินเกินกว่าที่คุณสามารถเสียได้
นอกจากตารางเดินเงินบาคาร่า 10 ไม้ ยังมีการเดินเงินแบบไหนอีกบ้าง
การเดินเงินแบบต่างๆ หมายถึง กลยุทธ์ในการจัดการงบประมาณและการเดิมพันในเกมคาสิโน เช่น เว็บตรง บาคาร่า หรือรูเล็ต ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียเงิน ระบบการเดินเงินแต่ละแบบมีวิธีการจัดการเงินแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างการเดินเงินแบบ ฟิโบนาชี่ ที่จะดูคุ้นหูผู้เล่นที่สุด ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ผู้เล่นยอมรับได้ และสไตล์การเล่นที่ต้องการ ตัวอย่างการเดินเงินที่นิยมมีแบบไหนบ้าง
1. Martingale System (ระบบมาร์ติงเกล)
- ลักษณะ เพิ่มเงินเดิมพันเป็นสองเท่าทุกครั้งที่แพ้ และกลับมาเดิมพันที่จำนวนเดิมเมื่อชนะ
- เป้าหมาย กู้คืนการเสียเงินในรอบก่อนหน้าและทำกำไร 1 หน่วย
- ตัวอย่าง หากเริ่มเดิมพันที่ 10 บาท และแพ้ในรอบแรก รอบถัดไปจะเดิมพัน 20 บาท ถ้ายังแพ้อีกจะเพิ่มเป็น 40 บาท เมื่อชนะจะกลับไปเริ่มที่ 10 บาท
2. Reverse Martingale (ระบบมาร์ติงเกลย้อนกลับ)
- ลักษณะ ทบเงินเดิมพันเป็นสองเท่าทุกครั้งที่ชนะ และลดลงเมื่อแพ้
- เป้าหมาย เพิ่มกำไรในช่วงที่มีการชนะติดต่อกัน
- ตัวอย่าง เริ่มเดิมพันที่ 10 บาท เมื่อชนะเพิ่มเป็น 20 บาท หากชนะอีกครั้งเพิ่มเป็น 40 บาท และหากแพ้กลับไปที่ 10 บาท
3. Fibonacci System (การเดินเงินแบบ ฟิโบนาชี่)
- ลักษณะ ใช้ลำดับเลข Fibonacci (1, 1, 2, 3, 5, 8…) เป็นตัวกำหนดจำนวนเงินเดิมพัน เมื่อแพ้ให้เดินหน้าลำดับไปข้างหน้า เมื่อชนะถอยกลับสองลำดับ
- เป้าหมาย ลดความเสี่ยงและค่อยๆ สร้างกำไรเมื่อเวลาผ่านไป
- ตัวอย่าง เริ่มเดิมพันที่ 10 บาท (ตามลำดับ 1 หน่วย) ถ้าแพ้ในรอบแรกจะเดิมพัน 10 บาท (1 หน่วย) ในรอบที่สอง ถ้ายังแพ้ต่อไปจะเดิมพัน 20 บาท (2 หน่วย) เมื่อชนะจะถอยกลับไปที่ 10 บาท
4. D’Alembert System
- ลักษณะ เพิ่มเงินเดิมพัน 1 หน่วยเมื่อแพ้ และลด 1 หน่วยเมื่อชนะ
- เป้าหมาย ค่อยๆ เพิ่มกำไรและลดความเสี่ยงจากการเพิ่มเดิมพันอย่างรวดเร็ว
- ตัวอย่าง เริ่มเดิมพันที่ 10 บาท หากแพ้ในรอบแรกเพิ่มเป็น 20 บาท ถ้าแพ้อีกเพิ่มเป็น 30 บาท หากชนะจะลดลงเป็น 20 บาท
5. Paroli System
- ลักษณะ เพิ่มเงินเดิมพันเป็นสองเท่าทุกครั้งที่ชนะ โดยจะเพิ่มเดิมพันต่อไปจนกว่าจะชนะติดต่อกัน 3 ครั้ง
- เป้าหมาย ใช้ประโยชน์จากช่วงที่ชนะติดต่อกันเพื่อเพิ่มกำไร
- ตัวอย่าง เริ่มเดิมพันที่ 10 บาท เมื่อชนะเพิ่มเป็น 20 บาท หากชนะอีกครั้งเพิ่มเป็น 40 บาท หลังจากชนะครบ 3 ครั้งกลับไปเดิมพันที่ 10 บาท
- ลักษณะ เขียนลำดับตัวเลข (เช่น 1, 2, 3, 4, 5) และเดิมพันที่ผลรวมของตัวเลขซ้ายสุดและขวาสุด หากชนะให้ขีดฆ่าตัวเลขเหล่านั้นออก หากแพ้ให้เพิ่มตัวเลขผลรวมที่เดิมพันนั้นลงในลำดับ
- เป้าหมาย ค่อยๆ ขจัดตัวเลขทั้งหมดเพื่อทำกำไรตามที่ต้องการ
- ตัวอย่าง เขียนลำดับ 1, 2, 3, 4, 5 และเดิมพันที่ผลรวมของตัวเลขซ้ายสุดและขวาสุด (1+5=6 หน่วย) หากชนะขีดฆ่า 1 และ 5 หากแพ้เพิ่มผลรวมของ 1+5 ลงในลำดับใหม่ (กลายเป็น 1, 2, 3, 4, 6)
7. Oscar’s Grind
- ลักษณะ เริ่มเดิมพันที่ 1 หน่วยและเพิ่มเดิมพัน 1 หน่วยเมื่อชนะ แต่เดิมพันเท่าเดิมเมื่อแพ้
- เป้าหมาย ทำกำไรในช่วงชนะและลดความเสี่ยงในช่วงแพ้
- ตัวอย่าง เดิมพัน 10 บาท (1 หน่วย) เมื่อแพ้เดิมพันเท่าเดิม หากชนะเพิ่มเป็น 20 บาท (2 หน่วย) จนกว่าจะได้กำไรตามที่ต้องการ
การเลือกใช้ระบบเดินเงินแต่ละแบบควรขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่น ความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ และเงินทุนที่มี
การเดินเงินแบบต่างๆ มีเพื่อจุดประสงค์อะไร
การเดินเงินแบบต่างๆ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์หลักดังนี้
1. การจัดการความเสี่ยง
- วัตถุประสงค์ การเดินเงินช่วยให้ผู้เล่นสามารถจัดการความเสี่ยงในการเสียเงินเดิมพันได้อย่างมีระบบ หากใช้อย่างถูกต้องและระมัดระวัง ระบบการเดินเงินบางแบบสามารถลดความเสี่ยงที่ผู้เล่นจะเสียเงินทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น โดยการควบคุมจำนวนเงินที่เดิมพันในแต่ละรอบ
2. การเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
- วัตถุประสงค์ ระบบการเดินเงินหลายแบบถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นชนะติดต่อกัน การทบเงินเดิมพันในช่วงที่ชนะหรือปรับเงินเดิมพันตามลำดับจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้กำไรจากการเดิมพันอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การควบคุมอารมณ์
- วัตถุประสงค์ การมีระบบเดินเงินช่วยให้ผู้เล่นไม่ต้องตัดสินใจแบบฉุกละหุกหรือใช้อารมณ์ในการเดิมพัน การมีแผนที่ชัดเจนในการเดินเงินช่วยลดความเครียดและความกังวลเมื่อเล่น และสามารถเล่นได้อย่างมีวินัยมากขึ้น
4. การจัดการงบประมาณ
- วัตถุประสงค์ ระบบการเดินเงินช่วยผู้เล่นจัดการงบประมาณของตนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการกำหนดจำนวนเงินที่จะเดิมพันในแต่ละรอบ และป้องกันไม่ให้เสียเงินเกินกว่าที่วางแผนไว้ ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเล่นได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่หมดงบประมาณในทันที
5. การฟื้นตัวจากการเสียเงิน (Recovery)
- วัตถุประสงค์ ระบบการเดินเงินบางแบบ เช่น Martingale ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เล่นสามารถฟื้นตัวจากการเสียเงินเดิมพันในรอบก่อนหน้าได้โดยการเพิ่มเดิมพันในรอบถัดไป หากระบบทำงานได้ตามที่คาดหวัง ผู้เล่นจะสามารถกู้คืนเงินที่เสียไปและทำกำไรได้ในระยะยาว
6. การสร้างระบบและระเบียบในการเล่น
- วัตถุประสงค์ การเดินเงินทำให้การเดิมพันเป็นเรื่องที่เป็นระบบและมีระเบียบมากขึ้น ผู้เล่นมีแนวทางที่ชัดเจนในการตัดสินใจว่าจะเดิมพันอย่างไรในแต่ละรอบ ลดความสับสนและเพิ่มความมั่นใจในการเล่น
การใช้ระบบเทคนิคการเดินเงินบาคาร่า เดินเงินควรทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากไม่มีระบบใดที่สามารถรับประกันการชนะหรือทำกำไรในทุกครั้ง การเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับตนเองและมีการจัดการเงินที่ดีจะช่วยให้การเล่นเกมคาสิโนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น